[รีวิว]เมื่อหนุ่มโรงงาน ย้ายสายไปทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์

general Jan 5, 2023

สวัสดีครับ หลังจากที่ผมได้ปล่อยให้บล็อกของตัวเองว่างมาเป็นเวลานานหลายเดือน มีสองสาเหตุ ส่วนหนึ่งเพราะว่าขี้เกียจ(ยอมรับโดยดี) อีกส่วนหนึ่งก็เพราะว่าผมนั้นได้เริ่มทำงานใหม่ ในสายงานใหม่ ซึ่งการทำงานในช่วงนี้นั้นก็จะมีสีสันแตกต่างจากงานที่ตัวเองเคยคุ้นชินมาหลายอย่าง จึงขออนุญาตเขียนรีวิวช่วงหนึ่งของชีวิตตัวเองสักครั้ง อ่านเรื่อยๆชิวๆ ถือว่าเป็นการเล่าสู่กันฟังแล้วกันนะฮะ

ผมเป็นใคร

ก่อนจะเริ่มต้นที่รีวิวไปถึงการได้งานเป็นโปรแกรมเมอร์ ต้องเริ่มต้นท้าวความตัวเองซะหน่อย ผมเป็นชายคนหนึ่ง ผู้ที่จบจากรั้วมหาลัยแล้วออกมาทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม เปลี่ยนที่ทำงานมาหลายที่แล้ว ทั้งโซนโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมแถวภาคตะวันออก ภาคกลาง ได้เรียนรู้การทำงานในลักษณะองค์กรขนาดใหญ่ พนักงานหลักพันหลักหมื่นคน เรียนรู้ทั้งระบบการผลิต และมาตรฐานการผลิตมาหลายหลักสูตร คลุกคลีการทำงานตั้งแต่ระดับโอเปอเรเตอร์มาจนถึงซุปเปอร์ไวเซอร์ รู้วิธีการทำงานทางบัญชีมาบ้าง ซึ่งพอจะสรุปกับตัวเองได้ว่า ไม่ว่าคุณจะไปทำงานที่โรงงานใดก็ตาม คุณก็จะนึกภาพการทำงานภายในโรงงานนั้นออกทันทีตั้งแต่วันแรก ที่เหลือก็เข้าไปเรียนรู้รายละเอียดภายในทีหลัง

อันที่จริงมันก็ดีนะ กับการทำในงานที่มีระบบ ทำในส่วนหน้างานที่ตัวเองรับผิดชอบไปเรื่อยๆ เช้ามาเข้างานก็แสกนบัตรเข้างาน หมดเวลา ออดดังเมื่อไหร่ก็เลิกทำงาน แสกนบัตรออก ขึ้นรถพนักงานกลับที่พัก แต่ผมอาจจะเป็นคนขี้เบื่อแหละ ไม่ชอบชีวิตวนลูปไปเรื่อยๆเท่าไหร่ ถึงจะรายได้มั่นคง แต่เราจะทำแบบนี้ไปจนแก่เลยหรอ ไม่เอาดีกว่า อยากหาอะไรใหม่ๆทำดีกว่า ขอออกไปจากวังวนชีวิตแบบนี้ดีกว่า แล้วเราจะไปทำอะไรดี?

เริ่มต้นมาทางนี้ได้ยังไง

มันเป็นความบังเอิญที่ตอนทำงานในโรงงาน ได้มีโอกาสได้ทำเกี่ยวกับ Pivot Table ของ Excel และเริ่มเพิ่มระดับความยากของตัวเองด้วยการทำ macro ที่ต้องมีการเรียนรู้ภาษา VBA เพื่อเอามาใช้สร้าง logic บางอย่างกับขุดข้อมูลที่มี หรือจะเป็นการได้คลุกคลีกับ AS/400 ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล Inventory นั้น ก็ได้จุดประกายความอยากทำงานในสายงานไอทีของผมมาก ดังนั้นผมจึงตั้งมั่นกับตัวเองว่า เราจะเบนเข็มชีวิตไปทำงานนี้ให้ได้!!!

การเริ่มต้นเรียนรู้วิชาต่างๆในด้านนี้ก็เริ่มต้นขึ้นทันที ผมหมกมุ่นอยู่กับการอ่านบทความของเดฟที่เก่งๆหรือ ดูยูทูปของเดฟทั้งไทยและต่างประเทศเยอะมากๆ และในคอมส่วนตัวก็เริ่มมีโปรแกรม editor เช่น Vscode, Sublime อะไรพวกนี้มากขึ้น แต่เอาจริงๆใช้อยู่ตัวเดียว ตัวอื่นๆที่ลองโหลดมาใช้แล้วไม่ถูกใจก็ลบทิ้ง ส่วนใน Internet browser ก็เริ่มมี history ของ Stackoverflow, Medium, Udemy หรือ เว็บ tutorial เก็บเป็นปึกๆ ผมมาเรียนรู้ว่า การที่จะเชี่ยวชาญในงานสายนี้ คือการฝึกทำอยู่บ่อยๆครั้ง เจอบั๊กหลากหลายรูปแบบ จะทำให้มุมมองกว้างไกลมากขึ้น ดังนั้นผมจึงต้องหาทางฝึกฝนตัวเอง และในชีวิตจริงเราไม่มีห้องกาลเวลาเพื่อเอาไว้ฝึกตนเหมือนในการ์ตูน ผมเลยตัดสินใจตื่นเช้ากว่าปกติ จากที่ตื่นหกโมง แล้วมาขึ้นรถโรงงานเวลาหกโมงครึ่งนั้น ผมเปลี่ยนมาตื่นตีสี่เพื่อฝึกเขียนโค้ด ทำให้ในแต่ละวัน ผมมีเวลาฝึกตัวเองวันละ 3 ชม. โดยทุกวันที่ผมเขียนโค้ดอะไรไป ผมก็จะ push โค้ดเก็บไว้บน Github เผื่อเอาไว้ใช้ในอนาคต

การฝึกเขียนโค้ดของผมนั้น เริ่มต้นจากการฝึกเขียนเกี่ยวกับ logic ก่อนเป็นอันดับแรก ภาษาแรกที่ผมใช้ฝึกนั้น คือ Python เพราะง่าย มี Learning Curve ต่ำ ทำให้กำแพงภาษาไม่เป็นอุปสรรคในการฝึก logic มากนัก จากนั้น ก็เริ่มฝึกภาษาอื่น เมื่อมองเห็นว่า เราต้องการจะสร้างอะไรขึ้นมา แล้วมันจำเป็นต้องใช้ภาษาหรือเครื่องมืออะไรในการสร้าง ยกตัวอย่างเช่น

  • ใช้ HTML CSS Javascript ในการสร้างหน้าเว็บ ถ้าเว็บปกติทั่วไป เท่านี้ก็เพียงพอ
  • ถ้าเว็บที่เราอยากให้มันเป็นอะไรเป็นมากกว่า plain HTML ก็จะเริ่มใช้ ReactJS ในการทำหน้าเว็บ เช่น การทำ Router, SPA (Single Page Application), Reusable Component ถ้าต้องการให้บาง element ของเว็บ มันถูกใช้ในที่หน้าอื่นๆด้วย โดยไม่ต้องการสร้างใหม่
  • ส่วนหลังบ้าน การจัดการข้อมูล เริ่มศึกษา NodeJS และ Library ของมัน เช่น Express, Mongoose เพื่อจัดการกับฐานข้อมูลของ MongoDB
  • นอกเหนือจากเรื่องเว็บ ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีอื่นๆอีก เช่น mobile app ฝึกใช้งาน Flutter, React Native คือ มาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เอามาใช้งานจริงๆซักที แต่ก็เรียนเพราะความสนใจของตัวเองล้วนๆเลย
  • ฝึกใช้งาน version control ให้คล่องๆ พวก Git นี่ เป็นเรื่องพื้นฐานของเดฟเลย บางทีมมีการใช้ Docker ด้วย แต่ก็นั่นแหละ เอาแค่ Git ก่อนละกัน ถ้ามีโอกาสใช้งานค่อยฝึก

หลังจากฝึกตนมาซักพักแล้ว สเตปต่อไปคือการทำงานจริง และจากนี้คือการเปลี่ยนเส้นทางเดินชีวิตของตัวเองจริงๆจังๆแล้ว

ก่อนเริ่มทำงานเดฟจริงจัง

แต่ก่อนจะได้ทำงานเดฟจริงๆนั้น สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการทำงาน คือการหางานครับ เพราะว่า ตามบริษัท software house หรือ บริษัทผู้ให้บริการรับทำโปรแกรมต่างๆในไทยนั้น มักจะให้ความสนใจกับผู้สมัครงานที่มีประสบการณ์การทำงานสายตรงมามากกว่า คนที่เปลี่ยนสายงาน นี่เป็นเรื่องจริงที่ผมได้เจอครับ และเป็นสิ่งที่บั่นทอนกำลังใจของผมมาก ถึงแม้ว่า ผู้สัมภาษณ์จะไม่สนใจวุฒิ แต่เค้าสนใจความสามารถ และอายุ (ส่วนใหญ่ที่เห็นคือ ไม่เกิน 35 ปีครับ แต่ ณ ตอนนั้นผม 28 ปี แปลว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ตอนนั้นที่นึกได้ ก็ทำให้เข้าใจสัจธรรมความหมายของคำว่า "เวลามีมูลค่า" ขึ้นมาทันที)

ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นได้ช้ากว่าคนอื่นๆที่เค้าเริ่มกันมาก่อนตั้งแต่อายุ 22 - 23 แล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากจะเป็นเดฟด้วยความตั้งมั่นมาก ใจมันรัก เลยยังคิดว่าพอมีโอกาสอยู่ ในตอนนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ครับ พยายามหาสมัครงานไปพร้อมๆกับทำโปรเจ็คเพื่ออัพเรซูเม่ของเราไปเรื่อยๆ พยายามทำโจทย์จากรีวิวสัมภาษณ์งานที่เราไปอ่านตามกลุ่มคอมมูบ้าง แหล่งเรียนรู้ฟรีนี่ไม่มีพลาด เก็บหมดทุกที่ ได้แก้โจทย์ แก้บัค พอแก้ได้ ใจก็ฟู มีกำลังใจทำโจทย์ข้ออื่นต่อไป เตรียมตัวเองให้พร้อมมากที่สุด เผื่อถ้ามีโอกาสมาถึงหน้าเรา แล้วผมจะไม่พลาดที่จะตะครุบไว้ให้มั่นๆ

เข้าสนามสัมภาษณ์งาน

และแล้วโอกาสก็มาถึงจนได้ครับ มีบริษัทสองแห่งเรียกผมไปสัมภาษณ์พร้อมกันในวันเดียว แห่งหนึ่งเรียกไปตอนเช้า อีกแห่งหนึ่งเรียกไปตอนบ่าย อุปสรรคของการไปสัมภาษณ์คือ ที่แรกอยู่ใจกลางกรุง ส่วนอีกที่นึงอยู่ชานเมือง แต่ยังโชคดีที่ ที่สอง ณ ขณะนั้นเค้า WFH อยู่ เลยนัดสัมภาษณ์ทาง video call แทน ถึงอย่างนั้นก็ตาม การเตรียมตัวเพื่อไปสัมภาษณ์งานสองที่ในวันเดียวกัน สำหรับมือใหม่ถอดด้ามอย่างผม ก็ไม่ใช่เล่นๆเลยทีเดียว อารมณ์ราวกับว่ายน้ำโลครึ่งแล้วมาวิ่งต่อสิบโลในไตรกีฬาเลยแหละ

การสัมภาษณ์ที่แรกเป็นไปอย่างราบรื่นครับ ผู้สัมภาษณ์เป็นคนไทย อายุพอๆกันกับผม คุยง่าย ถามไม่ยาก เค้าอึ้งที่ผมเขียนโค้ดเองลง Github เยอะจนเค้าขอ follow account ผมเอาไว้เลยทีเดียว เมื่อจบการสนทนา ออกมาจากห้อง ผมค่อนข้างมีความมั่นใจว่าอาจจะได้งานที่นี่มาก แต่มีเวลาฟินกับความมั่นใจแค่แป๊บเดียวเท่านั้น ก็ต้องรีบเตรียมตัวสัมภาษณ์งานที่ที่สองต่อทันที ผมต้องรีบหาที่เงียบๆเพื่อเตรียมการ video call ความซวยก็บังเกิดขึ้นอีก เมื่อโทรศัพท์มือถือที่ต้องใช้วิดีโอดันแบตจะหมด! เพราะแบตมันเสื่อม เลยลดฮวบๆไวมาก งานหยาบทันทีครับ ผมต้องวิ่งไปหาตู้ขายมือถือแถวๆนั้น เพื่อซื้อสายชาร์จแบต เอาราคาถูกๆไวก่อน เพราะตังต์ก็ไม่ค่อยมีเหมือนกัน สรุปว่าวันนั้นทั้งวันเต็มไปด้วยการสัมภาษณ์ครับ

ผมใช้เวลาไม่นานในการรู้ผลการสัมภาษณ์ของตัวเอง ที่แรกที่ผมมั่นใจนักหนานั้น ไม่ผ่าน!!! ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมนะ เพราะเค้าก็ไม่ได้บอก อันที่จริงคือเค้าหายไปเลย เงียบไปเลยเหมือนกับที่ HR ทั่วไปเค้าทำกัน ~ โอเค ไม่เป็นไร เราพยายามเต็มที่แล้ว ตอนนั้นก็ปลอบใจตัวเองว่า ถึงยังไม่ได้ แต่เราก็มีงานเดิมน่ะนะ ทำงานเดิมไปก่อนอีกสักพักก็ไม่แย่เท่าไหร่หรอก

แต่ว่า ลืมไปรึเปล่าว่าเรายังเหลืออีกที่นึงให้ลุ้น ใช่แล้วครับ  และวันธรรมดาวันนึง ขณะที่ผมกำลังทำงานปัจจุบันตามปกตินั้น ก็มีสายโทรเข้ามา เป็นเบอร์แปลก ผมก็กดรับไปแบบไม่มีสติเพราะกำลังวุ่นกับงาน สรุปว่าปลายสายมาจาก HR ของบริษัทที่เราไปสัมภาษณ์ที่ที่สอง ที่ที่เราลืมไปแล้วว่าเคยไป เพราะโอกาสได้งานที่นั่นมันน้อยว่าที่แรกมาก (ตามความรู้สึกตัวเอง) แต่บริษัทนั้นกลับเห็นอะไรบางอย่างในตัวผม และตัดสินใจรับผมเข้าทำงาน วินาทีที่รู้ตัวว่า เรากำลังจะได้เป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพแล้วนะเว้ย โลกใบใหม่กำลังเปิดประตูต้อนรับให้เราเข้าไป ผมดีใจมาก ในที่สุดผลผลิตของความมีวินัยตลอดหลายเดือนก็เริ่มออกมา แต่นี่มันจะไม่เป็นจุดสิ้นสุดแน่นอน มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าไปสู่ยุทธภพของวงการไอที ที่ Novice อย่างผมจะต้องเจอต่อจากนี้

coding screen

ทำงานไปแล้วเป็นยังไง

หลังจากที่ผมได้เข้ามาทำงานโปรแกรมเมอร์จริงจังแล้ว ก็มีความเข้าใจในภาพรวมของการทำงานระบบใหญ่ๆมากขึ้น มีการได้ลองใช้ Tool ใหม่ๆมากขึ้น ซึ่งประสบการณ์ที่ได้นั้น จะเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากการทำโปรเจคเดี่ยว หรืองานส่วนตัวเลยครับ คือว่าตามตรงมันเหนื่อยขึ้นนะ ปวดหลังมากขึ้นด้วย แต่ด้วยเนื้องานมันเป็นเรื่องที่เราชอบ ก็สามารถทำได้เรื่อยๆในทุกๆวันที่ตื่น ไม่รู้สึกเบื่องานแบบเมื่อก่อนอีกต่อไป

หลังจากนี้ล่ะ

เมื่อทำงานไปสักพัก เราก็มักจะหาความท้าทายใหม่ๆอยู่เสมอ ของผมเองก็เช่นกัน ผมได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะสอบ certificate ให้ได้อย่างน้อยๆหนึ่งใบขึ้นไป โดยเป็น global cert ที่เป็นรู้จักกัน อย่างเช่น AWS, GCP เพื่อให้เรามี verified skill ไปทำงานในระดับที่สูงขึ้นไป และอาจจะเพิ่มเติมความรู้ด้านอื่นๆให้มากขึ้น ทั้งในด้าน hard skill และ soft skill ครับ

ทั้งหมดนี้เป็น เรื่องราวคร่าวๆ (~เหรอออ) ของการเดินทางมาถึงเส้นทางสายโปรแกรมเมอร์ของผม ซึ่งมีทั้งความสุข ความทุกข์ปนๆกันไป ผมเองก็ไม่ใช่คนที่เก่งมากมายอะไร แต่เพื่อเป้าหมายที่เรารักแล้ว ขอให้เราตั้งใจทำตัวเองให้พร้อม ถ้ามีโอกาส ขอแค่ครั้งเดียวที่มันจะมาหาเรา เราจะไม่ลังเลเลยที่จะคว้ามันเอาไว้ครับ สำหรับบทความรีวิวนี้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ แล้วพบกันใหม่บทความหน้าครับ สัญญาว่าหลังจากนี้จะกลับมาเขียนบทความลงเว็บให้มากขึ้น บายย

Tags